มหากรุณาธารณีสูตร มีแหล่งความเป็นมาหลากหลาย ตามนิกายคติความเชื่อความนับถือของศาสนิกชนชาวพุทธมหายาน ที่นำมาเสนอต่อไปนี้คือประวัติความเป็นมาของมหากรุณาธารณีสูตรจากแหล่งข้อมูลหนึ่งที่เดิมเป็นภาษาอังกฤษและข้าพเจ้าได้แปลเป็นภาษาไทยดังต่อไปนี้:
ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้:
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตวันนครสวัตถี อันเป็นสวนของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่จำนวน 1250 รูปและหมู่พระมหาโพธิสัตว์จำนวน 40,000 องค์ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีเหล่าทวยเทพมากหลายซึ่งมีจำนวนถึง 84,000 องค์พร้อมด้วยบุตรและญาติๆของทวยเทพต่างก็ได้มาอยู่ในที่ชุมนุมนี้ด้วย ทวยเทพเหล่านี้ได้แก่ ท้าวมหาพรหมเจ้าแห่งพรหมโลก พระราชาแห่งมนุษยโลก(สหโลก) ท้าวสักกะเทวราช ผู้เป็นเวราชาแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 คือ ท้าว ธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ ท้าวกุเวร รวมทั้งขุนพลยักษ์ผู้ใหญ่จำนวน 28 ตน เป็นต้น
ในครั้งนั้นพุทธกาลได้ผ่านพ้นไปได้หลายแสนโกฏิปี ที่โลกแห่งหนึ่งนามว่า “นานาบุษปโลก” เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระอมิตาภะตถาคต พระองค์เป็นพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้แสดงงธรรมต่างๆในสมัยนั้น พระองค์ได้ตรัสเรียกให้พระโพธิสัตว์ 2 องค์ คือ พระโพธิสัตว์นามว่า มหาภะ และพระโพธิสัตว์นามว่า อมิตาภะให้มาเฝ้า แล้วตรัสว่า
“ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท่านทั้งสองพึงไปสู่มนุษยโลก(สหโลก)แล้วแสดงธรณีนี้แก่พระศากยะมุนี ธารณีนี้มีประโยชน์มาก ให้ประโยชน์และความสุขแก่สรรพสัตว์ในสังสารวัฏชั่วกาลนาน กับทั้งจะเอื้อประโยชน์ทางคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ทั้งทางด้านพละกำลังร่างกายและทางด้านเกียรติยศแก่สรรพสัตว์เหล่านั้น”
จากนั้นพระพุทธเจ้าได้ตรัสต่อไปว่า :
“ตะทะยะตะ โปโรสุลิ สุลิ ลิสะ โมทิ มะหา-โสโมทิ โสมันทิ มะหา-โสมันทิ โสลิ โสโลลิ สวาหะ”
พระโพธิสัตว์ทั้งสององค์นั้นเมื่อรับธรณีนี้จากพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้ว และเพื่อให้ธรณีนี้เกิดประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นนั้น จึงได้ออกจากพุทธโลกอันมีนามว่านานาบุปผพุทธโลกนั้น มุ่งตรงมายังสวนพระเชตวันของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี
พระโพธิสัตว์ทั้งสององค์ได้เข้าไปเฝ้าพระศากยมุนีพุทธเจ้ายังที่ประทับ ได้น้อมกายถวายอภิวาท ณ ที่เบื้องบาทของพระองค์ เสร็จแล้วถอยมายืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลพระพุทธองค์ว่า:
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อกาลแห่งพระพุทธเจ้าล่วงมาแล้วแสนโกฏิปี มีโลกแห่งหนึ่งนามว่านานาบุษปะพุทธโลก พระพุทธเจ้าแห่งโลกนี้มีพระนามว่าพระอมิตาภะตถาคต พระองค์เป็นพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสธรณีนี้ และพระองค์ได้ส่งข้าพระองค์ทั้งสองมาที่ที่เพื่อกราบทูลถามว่า “ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์มีพระโรคาอาพาธน้อยหรือไม่ พระองค์มีความปริวิตกน้อยหรือไม่ พระองค์มีพระพลานามัยแข็งแรงดีหรือไม่ พระสาวกของพระองค์ถูกรบกวนโดยพวกมาร พวกเทวดา พวกผี พวกรากษส พวกภูต พวกกุมภัณฑ์ พวกปีศาจ พวกเปรต พวกอสูร พวกครุฑ พวกเปรตผู้หิวโหย พวกคนธรรพ์ พวกผีแพร่เชื้อโคในวันเดียว พวกผีที่แพร่เชื้อโชคในสองวัน พวกผีที่แพร่เชื้อโชคในสามวัน พวกผีที่แพร่เชื้อโชคในสี่วัน หรือพวกผีที่แพร่เชื้อโชคในเจ็ดวัน พวกผีที่แพร่เชื้อโรคอยู่บ่อยๆ เป็นต้น หรือไม่”
“พระอมิตาภะคตาคตได้ส่งข้าพระองค์ทั้งสองให้นำธารณีนี้มาทูลถวายแด่พระองค์ เพื่อจะทำให้สรรพสัตว์ของมนุษยโลก(สหโลก)มีความสงบสุขในสังสารวัฏชั่วกาลนาน และเพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูลทางคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ทั้งทางด้านพละกำลังทางร่างกายและเกียรติยศแก่พวกเขา”
จากนั้นพระโพธิสัตว์ทั้งสององค์นั้น ก็ได้กราบทูลธารณีตามที่กล่าวข้างต้นนั้น
ในขณะนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้า ได้ตรัสกะพระอานนท์ว่า “เธอจงรับและทรงจำธารณีนี้ไว้เถิด จงท่องบ่นภาวนาให้ขึ้นใจ แล้วจงไปอธิบายธรณีนี้แก่ผู้อื่น จงเขียน และจงบูชาธรณีนี้ เพราะเหตุไร? เพราะการมาปรากฏของพระพุทธเจ้าในโลกนี้เป็นการยาก แต่การที่จะได้มีโอกาสได้ทรงจำธรณีนี้ยิ่งยากยิ่งขึ้น ดูก่อนอานนท์ หากผู้ใดทรงจำก็ดี อ่านก็ดี ท่องบ่นธารณีนี้ให้ขึ้นใจก็ดี ผู้นั้นจะประสบความสวัสดีและได้อานิสงส์มากหลาย”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น